ไซโด้ เบราฮิโน่ กับ เส้นทางนักฟุตบอลของเขา

ไซโด้ เบราฮิโน่ กับ เส้นทางนักฟุตบอลของเขา

#บ้าน

ชีวิตของครอบครัวที่คละคลุ้งในเขม่าควันปืน กลิ่นระเบิดในสงคราม ไม่เคยสนุกเลย

ช่วงท้ายๆของฟุตบอลโลก ในขณะที่โครเอเชียมีลุ้นคว้าแชมป์ เรื่องราวของลูก้า โมดริช และ อิวาน เปริซิช กลายมาเป็นที่พูดถึงในหมู่แฟนบอล

เขามีทั้งความพยายาม , ความมุ่งมั่น และวาสนา พาตัวเองขึ้นมาถึงจุดสุดยอดของชีวิต แน่นอนล่ะ เล่นให้กับ เรอัล มาดริด , เป็นหนึ่งในนอมินีของรางวัลบัลลงดอร์ และเป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลก

เรื่องราวของโมดริช ไม่ต่างกันกับนักฟุตบอลผิวสีชาวอังกฤษคนหนึ่ง อันที่จริงแฟนบอลอาจรู้จักเขาในฐานะนักเตะที่งอแงอยากย้ายทีม “มากเกินไป” จนชีวิตค้าแข้งที่กำลังจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ ต้องพังลงอย่างน่าเสียดาย

แต่อย่างน้อยวันนี้เรื่องราวของเขาก็กลับมาเป็นที่พูดถึงของสื่ออีกครั้ง กับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่เด็ดเดี่ยวพอสมควร

“บุรุนดี” เป็นประเทศเล็กๆทางตอนกลางของทวีปแอฟริกา เป็นประเทศโลกที่สามที่ประชากรมีความหิวโหยมากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก แต่นั่นยังไม่เท่ากับสงครามกลางเมืองระหว่างสองชนกลุ่มน้อยอย่าง ทุตซี และ ฮูตู ที่ฟาดฟันกันเพื่อความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ตัวเอง

แทบไม่มีประชากรคนใดอยู่อย่างสงบสุข ชาวบุรุนดีกว่า 50,000 คน บางส่วนต้องลี้ภัยจากบ้านตัวเองไปอยู่ที่ รวันดา ทางตอนเหนือของประเทศ และบางส่วนลี้ภัยไปทางด้านล่างที่แทนซาเนีย

เมื่อ 15 ปีก่อน (2003) หรือ 2 ปีก่อนที่สงครามกลางเมืองบุรุนดีจะสิ้นสุดลง เด็กชายวัย 10 ขวบคนหนึ่งกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่มีที่ว่างให้กับความเสียใจด้วยซ้ำ คุณพ่อของเขาเสียในวัยเด็กก็ด้วยสงครามครั้งนี้ ส่วนแม่ ต้องหนีไปอีกทิศอีกทาง เด็กสิบขวบที่ต้อง “หนี” เพียงคนเดียว

อย่างน้อย โมดริช ก็ยังได้หนีมาพร้อมกับครอบครัว

จุดหมายปลายทางของเด็กชายคนนั้นอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ความเลวร้ายของมันอยู่ที่วินาทีที่คุณรอคอยมานานแสนนาน คุณได้พบกับมารดาของคุณที่ต้องพลัดพรากจากกัน แต่คุณไม่สามารถบอกใครได้ว่าเขาคือแม่ของคุณ

“ผมตามแม่ของผมมาหลายสัปดาห์ แต่ผมได้แค่บอกเธอว่า ‘สวัสดี’ ผมพูดไม่ได้มากกว่านั้น” เขาเล่า

ทั้งเขาและแม่ของเขาต้องรับการตรวจ ดีเอ็นเอ ในฐานะผู้ลี้ภัย เพื่อพิสูจน์ว่าเธอและเขาเป็นแม่ลูกกัน ในที่สุดหลังจากการรอคอยหลายสัปดาห์ ที่แม่กับลูกต้องอยู่แยกกันในประเทศที่ห่างไกลจากบ้านเกิด โดยที่ยังไม่รู้อนาคต ในที่สุด ผลดีเอ็นเอก็ออกมา เขาและแม่โผเข้ากอดกัน

“ชีวิตของผมเริ่มใหม่จากตรงนั้น” คุ้มค่าแล้วกับเด็กอายุ 10 ปีที่ได้เจอกับความสงบสุขในชีวิตนี้เสียที


การพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของเขา แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาใช้เท้าทั้งสองข้างพูดแทน ทีมโรงเรียนที่ให้เขาได้มีโอกาสนั้นคือ “แอชตัน ทาวเวอร์” เขาแทบไม่ค่อยพูด แต่เมื่อมีโอกาสลงสนาม หากเทียบคนพูดเก่งกับการทำประตู “เขาคือนักพูดชั้นยอด”

“ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวสำหรับผม ในโลกของฟุตบอล มันอาจยากที่คุณจะเป็นผู้นับถือศาสนาที่เคร่ง และยึดมั่นในการทำความดี แต่ถ้าคุณทำตามคัมภีร์ไบเบิล คุณจะปลอดภัย คุณแม่และไบเบิล นำทางผม”

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะไบเบิล หรือความสามารถในการเตะฟุตบอลของเขา ในที่สุด เขาก็ได้พบกับแมวมองของ “เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน”

และอีกสามปีถัดมา โลกทั้งใบก็ได้รู้จักกับศูนย์หน้าฟอร์มแรงของพรีเมียร์ลีกที่ชื่อ “ไซโด้ เบราฮิโน่ ”


เขามีช่วงชีวิตขาขึ้น ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร แน่นอนว่าเขาอยู่กับ เวสต์บรอมฯ มันไม่ใช่สโมสรที่ใหญ่อะไรนัก แต่ในฐานะที่ชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก และเขาต้องเดินหน้าเพื่อความอยู่รอด แน่นอน เขาอยากย้ายทีม

เขาต้องการไปเล่นให้กับท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และฝ่ายของทีมจากลอนดอนเหนือก็ให้ความสนใจ แต่ความร้ายกาจของเรื่องนี้อยู่ที่ สเปอร์ส ยื่นข้อเสนอมาน้อยเกินไป เขาไม่ได้ย้ายทีม

สโมสรมองว่าเขาผิดที่แสดงท่าทีอยากย้ายออกจากสโมสรมากเกินไป แต่การร่วมงานกับโทนี่ พูลิสในเวลานั้น ก็ทำให้เขาไม่มีความสุข เขาถูกแทนที่โดนศูนย์หน้าชาวเวเนซุเอลา อย่างซาโลมอน รอนดอน เขาไม่ไหวแล้ว เขาต้องการออกจากทีม แต่สโมสรก็กลับปฏิเสธการยื่นเรื่องขอขึึ้นบัญชีขาย

เขาถูกดองเค็มที่เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ … ความฝันของเขาที่จะได้ย้ายไปสเปอร์ส เผื่อจะพบทางขึ้นสู่ทีมชาติ สลายไม่เป็นท่า แต่ใช่ เขาอยู่ที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว เขาเหมือนกับกำลังจมน้ำ ฉะนั้นมีกิ่งไม้อะไรก็ต้องเกาะเอาไว้ให้ได้ก่อน … ท้ายสุด ดีลกับสโต๊ค ซิตี้ ก็เกิดขึ้น

เขายอมรับว่าเขา “หลงทาง” และพยายามกลับมายืนในจุดที่ตัวเองเคยอยู่ แต่กลายเป็นว่าชีวิตมีแต่เรื่องเลวร้าย เขาไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้น (ภายหลังเขาอ้างว่าโดนแกล้งด้วยการหยอดยาใส่เครื่องดื่ม) แต่นั่นไม่เท่ากับการทำประตูไม่ได้เลย 2 ปีติดต่อกัน

เท่ากับว่าเขายังไม่สามารถทำประตูให้กับสโต๊คได้เลย และล่าสุด แม้กระทั่งในฤดูกาลใหม่ที่ทีมต้องตกชั้นลงไปเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เขาถูกลดชั้นลงไปเล่นในทีมชุดยู-23 พอล แลมเบิร์ต กุนซืออ้างเหตุผลว่า ‘เขาล้มเหลวเรื่องความประพฤติ’

เขาอาจมีโอกาสเป็นเหมือนแฮร์รี่ เคน เมื่อ 5 ปีก่อน … ภาพฝันของเขาอาจเป็นการไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก ทำประตูได้ ย้ายไปเล่นให้กับทีมใหญ่ของยุโรป ลบฝันร้ายในวัยเด็กที่บุรุนดี

มันอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เขาอายุเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น แต่ด้วยสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวเขาเองในเวลานี้ โอกาสติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่เท่ากับศูนย์ แม้ตัวเขาจะเคยไต่เต้าในชุดเยาวชนมาก็ตาม

และแน่นอนด้วยวัย 24 ปี มันโตเกินกว่าที่เขาจะกลับไปเล่นชุดเล็กแล้ว แถมอะไรล่ะที่จะดลใจแกเร็ธ เซาธ์เกตให้ดึงเขาไปเล่นทั้งๆที่ยิงประตูในเกมฟุตบอลไม่ได้ถึง 2 ปีครึ่ง

คนเราเวลามืดแปดด้าน สิ่งเดียวที่จะนึกถึงคือ “บ้าน”

แม้มันจะเจือจางในความทรงจำของเขาไปนานแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครลบเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้

บางทีอาจเป็นเพราะเขาป่วยทางใจ ศูนย์หน้าระดับอย่างเขาไม่มีทางยิงประตูไม่ได้เกือบสามปีเพราะความห่วยแตกของฝีเท้า

วันนี้ … ไซโด้ เบราฮิโน่ ขอลิขิตทางเดินใหม่ให้กับชีวิตตัวเอง เขากำลังจะได้ติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต

“ไม่ว่าผมจะเคยไปไกลแค่ไหน หรือวันนี้ต้องอยู่จุดไหน ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าผมเกิดมาจากที่ไหน ผมคิดเสมอ ว่าวันหนึ่งผมต้องกลับไปตอบแทนคนบุรุนดี และช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อคุณตั้งใจสัมผัสเขาด้วยใจ ไม่มีความรู้สึกใดที่จะดีกว่านี้”

ไซโด้ เบราฮิโน่ กำลังจะได้สวมชุดทีมชาติบุรุนดีเป็นครั้งแรกในชีวิต ลงสนามคัดเลือกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ พบกับ กาบอง ของ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมย็อง

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เบราฮิโน่พยายามลบเลือนตัวเองออกจากความเป็นบุรุนดี แต่ครั้งนี้ ต่างออกไป

บางทีบุรุนดีอาจทำให้เขากลับมาฟื้นคืนชีพในวงการฟุตบอลอีกครั้ง…

Dropballs

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*


This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.