“ผมกลัวความตาย…ผมไม่อยากจากลูกฟุตบอลไป อันโตนิโอ คาสซาโน่”
#หลายคนมองว่าเขาเป็นแบดบอย… หมกมุ่นเรื่องเพศ หรือแม้กระทั่งชอบมีปัญหากับโค้ชหรือเพื่อนร่วมทีม แต่นั่นก็เป็นผลกระทบจากด้านมืดในชีวิตที่เขาประสบมาเช่นกัน
เหมือนของขวัญเฉลิมฉลองของชาติ … เขาเกิดหลังจากอิตาลีคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1982 เพียงแค่วันเดียว ไม่มีใครรู้ว่าอีก 21 ปีต่อมา เด็กชายคนนี้จะก้าวขึ้นมารับใช้ “อัซซูรี่” อย่างเต็มภาคภูมิ
แต่กว่าจะถึงวันนั้น … ชีวิตของเขาเข้าขั้น “สะบักสะบอม” … เขาเจอกับความแตกแยก ความปวดร้าว และประสบการณ์ที่หล่อหลอมเขาขึ้นมา… แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งความทรงจำในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอล
หลังจากเขาเกิดไม่นาน … พ่อของเขาก็ทิ้งเขาและแม่ไปหาภรรยาเก่าที่มีลูกติดอยู่แล้ว 3 คน เขาไม่เคยรู้สึกดีที่ใช้นามสกุลเดียวกับพ่อ และเติบโตมาพร้อมกับรอยร้าวในชีวิตที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
“ผมเหมือนปีศาจสำหรับเขา เราเคยเจอกันข้างถนนโดยบังเอิญ เขาทำเป็นเหมือนไม่รู้จักผม เขาไม่อยากได้ยินชื่อผมด้วยซ้ำ” เจนนาโร่ พ่อของเขา ยอมรับกับรอยบาปในครั้งนี้
และไม่ทราบว่าเพราะเหตุการณ์ในวัยเด็กหรือไม่ แต่นั่นทำให้เขาติดเซ็กซ์อย่างหนัก หลังจากเขาไต่เต้าจากบารี่ , โรม่า ไปสู่เรอัล มาดริด … แสงสีและอำนาจเงินนำพา … แต่สำหรับเขา เขาติดมัน “เกินกว่า” คนทั่วไป
“ตอนที่ผมอยู่ที่เรอัล ผมพักที่โรงแรม ทุกอย่างมันง่ายมาก ผมนอนกับผู้หญิง นับ 600 ถึง 700 คน และหลังจากนั้น พนักงานโรงแรมจะเสิร์ฟขนมหวานให้ผมทันที คุณคิดดู ผู้หญิง กับอาหารอร่อยๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว”
แต่เขาอาจลืมไปว่า “อาหาร” มักมาควบคู่กับ “ความอ้วน” … มันส่งผลให้เรอัล ปรับเงินเขา สำหรับน้ำหนักที่เกินมาทุกกรัม … จากนั้นเขาก็เผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพ กระทั่งปี 2011 ระหว่างค้าแข้งให้เอซี มิลาน และกำลังเดินทางกลับที่พัก เขารู้สึกว่าโลกหมุน หน้ามืด ตาลาย เขารู้สึกผิดปกติกับตัวเอง
“ตอนนั้นเหมือนสมองผมหยุดทำงาน ผมอยากไปเจอหน้าลูก แต่ผมพูดออกมาไม่ได้”
“ผมจำได้ว่าผมไม่อยากไปโรงพยาบาล … แพทย์สโมสรต้องโน้มน้าวผมอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง”
ปรากฎว่าเขาเป็นโรคสมองขาดเลือด เขาเข้ารับการรักษา และผ่าตัดหัวใจในเวลาต่อมา …ใช้เวลานานโขกว่าจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้
“ผมบอกตรงๆ #ผมกลัวตาย ความรู้สึกนั้นมันโผล่เข้ามาก่อนเข้าห้องผ่าตัด สมองผมใช้การไม่ได้อยู่ 36 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าผมไม่เข้าใจอะไรกับสิ่งที่ผมเจอ สมองผมทำงาน แต่ผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกมาไม่ได้ และที่สำคัญ ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวผม”
“แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องอยู่คือเกมฟุตบอล ผมเลิกรักมันไม่ได้ และกำลังใจที่ช่วยให้ผมหายดี มาจากวงการฟุตบอล ทั้งโจเซ่ มูรินโญ่ , ลุยจิ เดล เนรี่ หรือแม้กระทั่งอันเดรส อิเนียสต้าก็โทรมาหาผม … แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กจะไม่ได้ช่วยผม แต่สุดท้าย ผมก็ผ่านอุปสรรคต่างๆด้วยความรักจากโลกฟุตบอล”
และด้วยพลังใจ เขาก็กลับสู่ผืนหญ้าสีเขียว ทีแรกขอเพียงได้เล่นฟุตบอลต่อ แต่ยิ่งกว่านั้นคือโอกาสที่เซซาเร่ ปรันเดลลี่ นายใหญ่ทีมชาติอิตาลีในขณะนั้นหยิบยื่นให้ … หนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์เฉียดใกล้ความตาย เขาติดทีม “อัซซูรี่” ไปลุยศึกยูโร 2012 ที่โปแลนด์และยูเครน
“ผมคิดว่าเขาเป็นส่วนผสมของ จานฟรังโก้ โซล่า และ เปาโล ดิ คานิโอ , เขาได้เทคนิคจากโซล่ามา ส่วนความดุดัน เขาได้จากเปาโลมาเต็มๆ” จานลูก้า วิอัลลี่ อดีตตำนานดาวเตะอิตาลี หล่นวาทะไว้กับบีบีซี
ไม่รู้ในความคิดใครหลายคน เขาจะเหมือนโซล่าหรือไม่ แต่ด้วยเทคนิคเฉพาะตัว เขาดึงหลบกองหลังเยอรมนีสองคนทางกราบซ้าย และโยนให้ มาริโอ บาโลเตลลี่ โหม่งประตูสำคัญในรอบรองชนะเลิศ
อิตาลีมาได้อีกหนึ่งประตูสำคัญหลังจากนั้น คือลูกยิงไกลพร้อมถอดเสื้อเบ่งกล้าม ที่แทบจะเป็น “ภาพจำ” ของยูโรครั้งนั้น พวกเขาเอาชนะเยอรมนี 2-1 และผ่านเข้าชิงชนะเลิศ
“นั่นคืออีกหนึ่งความประทับใจที่สุดในชีวิตผม”
“ผมยังไม่อยากตาย หรือถ้าผมตายไปแล้ว ผมไม่อยากให้ทุกคนมาสงสารผม ผมอยากให้ทุกคนจดจำผมในภาพที่ดี จดจำผมในฐานะนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ประเทศนี้เคยมี”
วินาทีนี้เขายังค้าแข้งอยู่… ที่สโมสรเวโรน่า ในเซเรีย บี สโมสรใหม่ของเขาที่ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับมาสู่ เซเรีย อาในฤดูกาลหน้า … เขาเพิ่งย้ายมาจากซามพ์โดเรียเมื่อสองวันก่อน
จริงอยู่ … เขาไม่ได้เป็นดาราหัวแถวของอิตาลีในยุคใกล้กันเหมือนโรแบร์โต้ บาจโจ้ , อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ , ฟรานเชสโก้ ต็อตติ หรือ คริสเตียน วิเอรี่
แต่ต่างกันที่ ตำนานเหล่านั้นแขวนรองเท้าไปแล้ว แต่เขายังอยู่กับมันจนถึงวันนี้
… เขาผ่านมาเยอะ เขาโชกโชนในชีวิต สมองและหัวใจของเขาเคยไม่แข็งแรง
แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากตาย ตราบใดที่ยังเล่นฟุตบอลได้ #เขาก็ไม่เคยคิดจะจากมันไป ….
สุขสันต์วันเกิด อันโตนิโอ คาสซาโน่ อายุครบ 35 ปี…
dropballs
Leave a Reply